Marfa Light nong khai

Marfa Light nong khai

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The legend of Naga

ตำนานพญานาค
          นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล
นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า ตำนานความเชื่อเรื่องพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิด
มาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์
ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์
          มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติเล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาลและเชื่อกันว่ามีคนเคยพบรอยพญานาค
ขึ้นมาในวันออกพรรษา โดยจะมีลักษณะคล้ายรอยงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้ เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
          ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่ มีหงอนสีทอง ตาสีแดง มีเกล็ดเหมือนปลา
และมีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี และที่สำคัญ คือ นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้น จะมีสามเศียร
ห้าเศียร เจ็ดเศียร และเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจากพญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร
อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่า มีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำ และบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาล
ให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่าง สวยงาม

ตำนานพญานาคบทกำเนิดแห่งลำน้ำโขง

          เรื่องกำเนิดแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน เป็นเหตุมาจากการวิวาทของพญานาคสองตัวที่หนองแส (หรือหนองกระแส) แต่รายละเอียดจะต่างกันเล็กน้อย ระหว่างตำนานของลาว ตำนานสุวรรณโคมคำ และตำนานคำชะโนด
ตำนานลาว บอกว่า ครั้งปฐมกัลป์ มีนาคสองตัวเป็นมิตรสหายกัน อาศัยที่หนองแส คือพินทโยนกวตินาค เป็นใหญ่อยู่ในหนอง และธนะมูลนาค เป็นใหญ่อยู่ท้ายหนอง มีหลานชื่อชีวายนาค นาคทั้งสองตกลงกัน ว่าถ้าได้อาหารมาจะแบ่งกันกิน
อยู่มาวันหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งตายที่ท้ายหนอง ธนะมูลนาคจัดการแบ่งเนื้อช้างเป็นสองส่วน ให้พินทโยนกวตินาคส่วนหนึ่ง ตนกินเองส่วนหนึ่ง ต่อมา มีเม่นมาตายที่หัวหนอง พินทโยนกวตินาคก็แบ่งเป็นสองส่วน แบ่งให้ธนะมูลนาคและกินเองอย่างละส่วน แต่ธนะมูลนาคกินเนื้อเม่นแล้วไม่อิ่ม และบังเอิญไปเห็นขนเม่นยาวตั้งศอก ยาวกว่าขนช้างมากมาย คิดว่าเม่นน่าจะใหญ่กว่าช้างเป็นแน่ จึงโกรธที่พินทโยนกวตินาคหวงเนื้อเม่นไว้กินเอง ทั้งๆ ที่ตนก็แบ่งเนื้อช้างตามที่ตกลงกัน จากนั้น นาคทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง จนน้ำขุ่นไปทั้งหนอง สัตว์ใหญ่น้อยล้มตาย ร้อนถึงพระอินทร์ต้องส่งพระวิสสุกรรมลงมาขับไล่นาคทั้งสองออกจากหนองแส และทำให้นาคอื่นๆ ต้องอพยพไปสู่ที่อื่นไปด้วย โดยระหว่างทางก็ขุดคุ้ยดินจนลึกกลายเป็นคลอง ชีวายนาคขุดจนเกิดแม่น้ำอู (อุรังคนที) เลยไปถึงชีวายนที ธนะมูลนาคก็ขุดจนเกิดแม่น้ำมูล ส่วนพินทโยนกวตินาค ก็ขุดจนเกิดแม่น้ำพิง และเมืองที่ตั้งอยู่ก็ได้ชื่อโยนกตามชื่อนาคตัวนั้น ส่วนนาคตัวอื่นๆ ก็ขุดคุ้ยดินเกิดแม่น้ำสายต่างๆ
เรื่องนาคอพยพ เป็นตำนานที่ชนพื้นเมืองหนองแสซึ่งกระจายถิ่นฐานลงมาตามลุ่มน้ำต่างๆ ทางสุวรรณภูมิจะเล่าขานกันอยู่เนืองๆ
ตำนานสุวรรณโคมคำ มีโครงเรื่องคล้ายกัน โดยนาคที่อยู่ทางทิศเหนือ ชื่อพญาสุตตนาค ส่วนนาคที่อยู่ทางทิศใต้ ชื่อพญาศรีสัตตนาค หลังจากมีเรื่องวิวาทเนื้อช้างเนื้อเม่นกันแล้ว พญาสุตตนาคเห็นว่าพญาศรีสัตตนาคคงมีกำลังสู้พวกของตนไม่ได้ จึงยกกำลังลงมาขับไล่พญาศรีสัตตนาคออกจากหนองแส และจากนั้นมา น้ำจากหนองแสก็ไหลมาตามทางที่พญาศรีสัตตนาคหลบหนีลงมา กลายเป็นแม่น้ำโขง
ตำนานคำชะโนด อยู่ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานีนี่เอง โครงเรื่องก็คล้ายกับตำนานของลาวอีก โดยนาคที่ได้เนื้อช้างมานั้น ชื่อพญาศรีสุทโธ ส่วนนาคที่ได้เนื้อเม่นนั้น ชื่อพญาสุวรรณ การวิวาทของนาคทั้งสองกินเวลานานถึง 7 ปี สัตว์ต่างๆ ในแถบนั้นเดือดร้อนไปทั่ว ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาตัดสินความ โดยมีโองการให้นาคทั้งสองหยุดรบกัน แล้วให้แยกกันอยู่โดยสร้างแม่น้ำคนละสายจากหนองแส ใครถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกลงไปอยู่ในแม่น้ำสายนั้น จากนั้นให้เอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้น ใครลุกล้ำก็ให้ไฟจากภูเขาพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล
เมื่อได้รับโองการแล้ว พญาศรีสุทโธก็สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางตะวันออกของหนองแส เจอภูเขาขวางหน้าตรงไหน แม่น้ำก็คดโค้งไปตามภูเขา เพราะพญาศรีสุทโธเป็นนาคใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง คือไม่ตรง
ส่วนพญาสุวรรณ ก็พาบริวารสร้างแม่น้ำลงไปทางใต้ พญาสุวรรณเป็นนาคใจเย็น พิถีพิถัน พยายามสร้างแม่น้ำให้ตรง ซึ่งแม่น้ำนี้เรียกว่าแม่น้ำน่าน ซึ่งเปรียบกับแม่น้ำสายอื่นแล้ว ถือว่าตรงกว่าทุกสาย
ผลก็คือ พญาศรีสุทโธนาคสร้างแม่น้ำโขงถึงทะเลก่อน จึงได้ปลาบึกจากพระอินทร์ ซึ่งปลาบึกนี้ ปรากฏว่ามีที่แม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวในโลก จากนั้น พญาศรีสุทโธได้เหาะขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ เพราะนาคอยู่ในเมืองมนุษย์นานไม่ได้ พระอินทร์จึงโปรดให้ทางขึ้นลงไว้ 3 แห่ง คือ
  1. ที่พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์
  2. ที่หนองคันแท
  3. ที่พรหมประกายโลก (คำชะโนด)
แห่งที่สาม คือพรหมประกายโลก คือที่ที่พรหมลงมากินง้วนดินจนหมดฤทธิ์กลายเป็นมนุษย์ ให้พญาศรีสุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนครอบครองเฝ้าอยู่ และให้มีต้นคำชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งลักษณะต้นชะโนดเหมือนต้นไม้สามชนิด คือต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลผสมกัน และในเวลา 1 เดือนจันทรคติ ข้างขึ้น 15 วัน ให้พระยาศรีสุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกชื่อว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ"
เรื่องเมืองชะโนดนี้ ซีดีสารคดีไปถ่ายเมืองชะโนดที่เป็นเกาะกลางน้ำ มีต้นชะโนดขึ้นเต็ม อยู่ที่อุดรฯ มาให้ดู และเล่าเพิ่มเติมว่า มีเรื่องเล่าว่าเคยมีคนเมืองคำชะโนดออกมาหยิบยืมข้าวของชาวบ้าน หรือไม่ก็มีการจัดงานฉลองในเมืองชะโนด มีการมาว่าจ้างหนังเข้าไปฉายก็มี เป็นที่เล่าลือจนคนแถวนั้นกลัวไปตามๆ กัน

พญานาคกับตำนานเมืองหนองคาย
          
             เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาคนั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ
และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไป
ขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชาที่เมืองบาดาล
          ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก และจะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาคชั้นเลว ประพฤติตนเกเร
จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขงที่เป็นที่อยู่ของเหล่าพญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้าม กับบ้านหนองกุ้งอำเภอโพนพิสัย
จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี ในเมื่อมีเมืองมนุษย์หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล
(เมืองพญานาค) ตามความเชื่อเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร และมีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย อีกด้วย 

เมืองบาดาลใต้เมืองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

         ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย
คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัยว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอ
โพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน
          วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักน้ำเพื่อไปดื่ม โดยมีถังน้ำ (หาบครุน้ำ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ
สะอาด (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่ถังน้ำ (หาบครุน้ำ) พ่อแม่ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบจนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว และคิดว่าคงจมน้ำตายแล้ว
จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้องชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช จนเวลาประมาณเที่ยงคืนลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตายก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้าน
ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนี เพราะคิดว่าเจอผีหลอก สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง
หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง
          หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า "วันนั้นอากาศร้อนมากน้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำเมื่อวาง กระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฏว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้า
เรียกให้เข้าไปหา เมื่อเดินเข้าไปหาแล้วหมูตัวนั้นบอกว่าให้หลับตาจะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฏว่าตนมาอยู่
อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่ แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ทุกคนนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศีรษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะ
ปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล)
ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อยๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฏว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนสีขุ่นๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่านี่เป็นเมืองบาดาลและเป็นเมืองหน้าด่าน ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงาน สมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือนที่เข้าพรรษานั้น
เหล่าชาวเมืองที่นี่จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิมเรื่อยๆ แต่ได้ขึ้นมายืน
อยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่" จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว
ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น