Marfa Light nong khai

Marfa Light nong khai

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศรีธนชัยฉบับอีสาน "นิทานเชี่ยงเมี่ยง"

นิทานเรื่องเชี่ยงเมี่ยง เป็นนิทานที่เล่าถึงความเล่ห์แสนกล ของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเฉลียวฉลาดจนผู้ใหญ่ก็ตามไม่ทัน ทำให้เชี่ยงเมี่ยงได้ใจ เรื่องพูดเท็จหลอกผู้ใหญ่อยู่เสมอ นิทานเรื่องเชี่ยงเมี่ยงนี้ ได้แพร่ขยายเข้าไปในภาคเหนือ ด้วยโครงนี้เรื่องก็คล้ายๆ กับศรีธนนชัย นิทานชาวบ้านของภาคกลาง โดยจบลงด้วยคติ บทเดียวกันว่า คนเรานั้นจะฉลาดอย่างไร ถ้าแสนกล ก่อทุกข์ให้คนอื่นและสนุกกับเล่ห์เพทุบาย ในที่สุดก็จะต้องชดใช้กรรมอันนั้น
                     นานมาแล้ว นานเสียจนไม่รู้ว่าเมื่อไร มีเด็กชายกำพร้าพ่อแม่คนหนึ่ง ชื่อ เชี่ยงเมี่ยง เป็นเด็กที่พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องเลย ชาวบ้านจึงนำตัวเด็กน้อย ไปมอบให้สมภารองค์หนึ่ง ช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เชี่ยงเมี่ยงยังเล็กมาก
                    เชี่ยงเมี่ยงจึงเติบโตในวัด อาศัยอยู่กับหลวงพ่อกินข้าวก้นบาตรพระ และคอยปฏบัติหลวงพ่อทุกอย่าง เด็กลูกศิษย์วัดมีหลายคนด้วยกัน ต่างก็มีงานที่ต้องช่วยกันทำแบบทั้งวัน เช่น ทำความสะอาดลานวัด ตัดต้นไม้ ดายหญ้า รดน้ำ ทำความสะอาดกุฏิ ฯลฯ แต่พระต่างก็สังเกตเห็นว่า เด็กชายเชี่ยงเมี่ยงจะพยายามทำงานน้อย และเบากว่าเพื่อนๆ ทุกทีไป เมื่อไต่ถามเพื่อจะดุ หลวงพ่อก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเชี่ยงเมี่ยงสักที แม้จะเป็นคนเลี่ยงงานและกินแรงเพื่อนฝูง แต่ก็ประจบและปฏบัติหลวงพ่อเป็นที่ถูกใจ และทันอกทันใจกว่าลูกศิษย์คนอื่น ด้วยเหตุนี้เชี่ยงเมี่ยงจึงได้เป็นเด็กก้นกุฏิของหลวงพ่อ


                    เชี่ยงเมี่ยงมักจะก่อเรื่องให้กับหลวงพ่อเสมอๆ วันหนึ่งหลวงพ่อให้เชี่ยงเมี่ยงไปเก็บพริก แล้วสั่งให้รีบไปรีบมา เชี่ยงเมี่ยงก็ย้อนถามหลวงพ่อว่า
                    "ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้คนอื่นบ้างละครับ"
                    หลวงพ่อได้ยินจึงโกรธ ย้ำสั่งว่า
"อ้ายขี้เกียจ เอ็งเก็บพริกไม่หมดต้น ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าเทียวนา"
                    เชี่ยงเมี่ยงจึงรีบไปเก็บพริกตามหลวงพ่อสั่ง ออกจากกุฏิไปแต่เช้า จนตะวันตกดินเชี่ยงเมี่ยงก็ยังไม่กลับวัด หลวงพ่อเป็นห่วงจึงใช้ให้เพื่อนไปตาม ปรากฏว่าเชี่ยงเมี่ยงใช้ผ้าขาวม้าปูนอน อยู่ใต้ต้นพริก และข้างๆ ตัว มีพริกสุกวางไว้ 5-6 เม็ด
                    เมื่อกลับมาถึงวัดหลวงพ่อโกรธมาก เตรียมไม้เรียวจะทำโทษ แต่ก็ต้องไต่สวนเสียก่อน เชี่ยงเมี่ยงก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ว่า
"ก็หลวงพ่อให้ผมไปเก็บพริกให้หมดต้น เมื่อผมไปถึงมีพริกสุกอยู่แค่ 5-6 เม็ด เท่านั้น นอกนั้นมีแต่พริกอ่อน ผมจึงต้องนอนคอยที่จะเก็บให้หมดต้น ผมจึงไม่กล้ากลับวัด"
                    เชี่ยงเมี่ยงจึงรอดตัวไปอีกครั้งหนึ่ง สาภารไม่อาจจะลงโทษได้ จึงสั่งว่า "พรุ่งนี้เอ็งจะต้องอยู่เฝ้ากุฏิ อย่าให้ไก่ขึ้นมาขี้ได้โดยเด็ดขาด ถ้ามีขี้ไก่ให้ข้าเห็นละก็ ข้าจะให้เอ็งเลียเสียจนเกลี้ยงทีเดียว"
                    รุ่งเช้าสมภารก็ออกจากวัดไปตามนิมนต์ เชี่ยงเมี่ยงก็นั่งเล่นนอนเล่นคอยไล่ไก่ ไม่ให้ขึ้นมาขี้ใส่บนกุฏิ รู้สึกเคืองสมภารอยู่ในใจ ที่จะลงไปเล่นกับเพื่อนก็ไม่ได้ ก็คิดกลวิธีจะแกล้งหลวงพ่อ โดยเอาน้ำตาลอ้อยไปเคี่ยวจนมีสี และลักษณะเหมือนขี้ไก่ คือ อุจจาระไก่ท้องเสีย แล้วก็เอาน้ำตาลเคี่ยวนั้น มาหยดไว้เรียงรายเต็มกุฏิไปหมด
                    พอหลวงพ่อกลับมาจากสวดมนต์ เห็นขี้ไก่เต็มกุฏิก็ไมโห
"เอ็งต้องเลียขี้ไก่ให้หมดนา ไม่ยังงั้นข้าจะเฆี่ยนเอ็งให้หลังขาดทีเดียว" ว่าแล้วหลวงพ่อ ก็ฉวยไม้เรียวมายืนคุม
                    ฝ่ายเชี่ยงเมี่ยงไม่ได้รอช้า จัดแจงเลียขี้ไก่ปลอมจนเกือบหมด เหลือไม่กี่กองด้วยความเอร็ดอร่อย หลวงพ่อจึงเกิดความสงสัยยิ่งนัก จึงถามเชี่ยงเมี่ยงว่า
"เอ็งทำไม่กินขี้ไก่หน้าตาเฉย" เชี่ยงเมี่ยงตอบว่า "หลวงพ่อไม่รู้อะไร ขี้ไก่โม่นี้อร่อยหวานมันที่สุด ไม่เชื่อหลวงพ่อลองชิมดูซิ" เมื่อหลวงพ่อลองชิมดู ก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่เชี่ยงเมี่ยงบอก จึงกินขี้ไก่ที่เหลือจนหมด และสั่งเชี่ยงเมี่ยงว่า
                    "พรุ่งนี้ข้าจะไม่อยู่ เอ็งไม่ต้องเฝ้ากุฏินะ ปล่อยให้มันขึ้นมาขี้ แล้วอย่ามากินขี้ไก่ของข้าเสียด้วย"
                    เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อก็ออกจากวัด เชี่ยงเมี่ยงก็ได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ปล่อยให้ไก่ขึ้นมาขี้บนกุฏิเต็มไปหมด ครั้นตกเย็นเมื่อหลวงพ่อกลับมา เห็นขี้ไก่เต็มกุฏิก็ดีใจ นึกชมเชี่ยงเมี่ยงในใจว่าทำตามคำสั่งดี รีบไล่เชี่ยงเมี่ยงให้ไปวิ่งเล่น เพื่อจะได้จัดการกินขี้ไก่
                    แล้วสมภารก็รู้ว่าขี้ไก่วันหลังกับวันแรกนั้นไม่เหมือนกันเลย วันหลังเหม็นและไม่มีรส ทำให้อาเจียนและหมดแรง และอาพาธไปหลายวัน
                    ครั้นหายจากอาพาธแล้ว สมภารก็ออกบิณฑบาตรตามปกติ สั่งให้เชี่ยงเมี่ยงถือปิ่นโตตามหลัง มีหญิงคนหนึ่งนำเอาตับย่างมาใส่บาตร หลวงพ่อก็ให้เชี่ยงเมี่ยง หยิบชิ้นตับออกจากบาตรมาใส่ปิ่นโตไว้ ครั้นเดินรับบาตรจนสาย หลวงพ่อจึงบ่ายหน้ากลับวัด ขณะที่เดินไปตามคันนา หลวงพ่อหันกลับมาดูเชี่ยงเมี่ยง กลัวจะเดินตามไม่ทันเพราะยังเด็กอยู่ ก็เห็นเชี่ยงเมี่ยงเคี้ยวอะไรหมุบหมับอยู่ในปาก จึงถามว่า
                    "นั่นเอ็งเคี้ยวอะไรอยู่ในปากของเอ็งวะ ไม่มีอะไรหรอกขโมยตับควายของข้ากินน่ะ เอ็งไม่ต้องกินอีกแล้ว เอ็งนี่ตะกละแท้ๆ"
                    เชี่ยงเมี่ยงจึงตอบสมภารว่า "ผมก็เลิกกินแล้วละครับ ตับอะไรก็ไม่รู้ ไม่อร่อยเลย คนทำไม่เข้าใจทำ ทำไม่เป็น"
สมภารได้ยินดังนั้นก็นึกขำ จึงพูดว่า
                    "อ้ายสู่รู้ แล้วเอ็งน่ะทำเป็นหรือ"
"หลวงพ่อครับ จะกินตับย่างให้อร่อย จะต้องล้วงออกมาจากท้องควายสิครับ ล้วงไปทางก้นมันนั่นแหละ ถึงจะอร่อย" หลวงพ่อฟังแล้วก็เฉยเสีย
                    บังเอิญชาวบ้านเอาควายมาปล่อย ให้กินหญ้าแถวนั้นตัวหนึ่ง ควายกำลังอุจจาระอยู่พอดี เชี่ยงเมี่ยงจึงบอกสมภาร
                    "ได้การละครับ จะกินตับย่างให้อร่อย ต้องล้วงทวารควาย ตอนมันขี้นี่แหละ"
สมภารก็เชื่อ วางบาตรเดินตรงไปที่ควาย แล้วเอามือล้วงเข้าไปในทวารควาย เกือบจะถึงข้อศอก เพื่อจะล้วงเอาตับ
                    ฝ่ายควายเมื่อมีคนล้วงก็ตกใจ จึงวิ่งเตลิดสุดแรง หลวงตาเอามือออกไม่ได้ ถูกควายดึงถูลู่ถูกัง เหนื่อยจนขาดใจถึงแก่มรณภาพ
                    ส่วนเชี่ยงเมี่ยง แทนที่จะหาทางช่วยเหลือหลวงพ่อของตน หรือตกใจ หลับยืนหัวเราะด้วยความขบขัน ที่ตนสามารถแกล้งหลวงพ่อได้ แก้แค้นที่ถูกขัดคอ ตอนขโมยตับควายย่างกิน หัวเราะหลวงพ่อซึ่งนอนมรณภาพ เสียจนขากรรไกรค้าง หุบปากไม่ได้ ต้องเสียชีวิตตามหลวงพ่อไปอีกคน
จบแล้ว.                    


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น