Marfa Light nong khai

Marfa Light nong khai

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ศึกจอมขมังเวท


...ผู้วิเศษเรืองฤทธิ์เดชา
จุติสู่หล้าด้วยจิตมุ่งมั่น
เนรมิตสงครามโลกันตร์
ทุกเขตขัณฑ์จักลุกเป็นไฟ
สมดุลแห่งแดนสูญสิ้น
ธารโลหิตแดงฉานหลั่งไหล
ทุกธานีรกร้างทลาย
จงหยุดมันไว้ด้วยเนตรเพลิง...
<>::<>::<>
บทนำ



ผืนแผ่นดินแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองดินแดน คือป่ามายาและแดนมนุษย์ ป่ามายาคือสถานที่อันเป็นที่อยู่ของสัตว์อสูรนานาชนิด แดนมนุษย์คือที่อยู่ของคนสองกลุ่ม ได้แก่มนุษย์ธรรมดาและผู้ใช้เวท

ผู้ใช้เวทคือกลุ่มคนซึ่งมีพลังเวทมนตร์มาแต่กำเนิด พลังเวทมนตร์เป็นสิ่งสืบทอดกันทางสายเลือด เมื่อแรกเกิดพลังเวทมนตร์จะอ่อนมาก จากนั้นจะเพิ่มขึ้นตามวัย

ผู้ใช้เวทแบ่งเป็น จอมเวท และ ผู้วิเศษ จอมเวทยังแบ่งได้เป็น จอมเวทระดับต่ำ จอมเวทระดับกลาง และ จอมเวทระดับสูง ส่วนผู้วิเศษคือผู้ใช้เวทที่มีพลังเวทมนตร์สูงเป็นพิเศษซึ่งมีเพียงห้าคนเท่านั้นในแดนมนุษย์

สำหรับผู้ใช้เวททั่วไป พลังเวทที่เพิ่มขึ้นตามอายุจะหยุดชะงักเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง และจุดจุดนั้นของผู้ใช้เวทแต่ละคนจะแตกต่างกันไป มีเพียงผู้วิเศษเท่านั้นที่พลังเวทมนตร์จะเพิ่มสูงขึ้นได้เรื่อยๆ โดยไร้ขีดจำกัดด้านอายุ ทำให้แม้แต่ผู้วิเศษที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังเวทมนตร์สูงกว่าจอมเวทระดับสูงที่แข็งแกร่งที่สุดถึงสามเท่า และจุดสังเกตของผู้วิเศษก็คือปานรูปหยดน้ำสีแดงบนหน้าผากที่จะปรากฏขึ้นเมื่อผู้ใช้เวทคนนั้นได้รับสืบทอดความเป็น ผู้วิเศษ จากผู้วิเศษคนก่อนหน้า

นอกจากเหล่าผู้ใช้เวท คนอีกกลุ่มที่ครอบครองดินแดนนอกป่ามายาคือมนุษย์ธรรมดา มนุษย์ธรรมดาเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ ในขณะที่ผู้ใช้เวทเป็นพลเมืองส่วนน้อยที่มีจำนวนน้อยกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายร้อยหลายพันเท่า เดิมทีมนุษย์ทั้งสองกลุ่มต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัย

ด้วยความที่ผู้ใช้เวทมีจำนวนน้อยและมีอำนาจในการบันดาลสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เรียกลมเรียกฝน ซึ่งสามารถช่วยอำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ธรรมดาในด้านการเพาะปลูกและการดำรงชีวิต ทำให้ผู้ใช้เวทได้รับความเคารพนับถือจากมนุษย์ธรรมดามาก

แต่แล้วได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์อันดีนี้ถูกทำลายลงและเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ จวบจนปัจจุบัน...




<>::<>::<>::<>::<>::<>

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฝากใจไว้..หลวงพระบาง


        หลังจากแพ็คสิ่งของที่จำเป็นลงในเป้เสร็จเรียบร้อยผมก็ชโงกหน้าออกมาสูดอากาศหน้าระเบียงด้านหลังของอพาทเมนท์ทอดสายตามองยาวไปยังฟากฝั่งตรงข้ามเพื่อชมธรรมชาติที่สวนรถไฟ ขณะนี้ฟ้างามยามเย็น สายลมหนาวกรรโชกมาอ่อนๆ โลมไล้ผิวเนื้อ ใบไม้โบกพลิ้วไปตามแรงลม   หลังจากเพลินอยู่ได้ซักพักผมก็กลับเข้ามาในห้องสะพายเป้คู่ใจขึ้นรถโดยสารมุ่งตรงสู่หนองคาย เพื่อไปตามความฝันของผมที่ปลายฟ้า..หลวงพระบาง ผมไม่เคยไป ไม่เคยเห็น ไม่รู้จักใครที่หลวงพระบางมาก่อน แต่ผมรู้ว่าหลวงพระบางเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่งดงาม เป็นเมืองมรดกโลก และที่สำคัญก่อนที่แม่จะเสียท่านบอกกับผมว่าบรรพบุรุษของแม่มาจากหลวงพระบาง ก่อนที่จะมาอยู่เวียงจันทน์ และข้ามมาฝั่งไทย หลวงพระบางอาจเป็นมรดกโลกสำหรับคนอื่นแต่ผมเป็นมรดกของหลวงพระบาง
                ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่คุ้นเคย ผมขึ้นรถที่ขนส่งสายเหนือในนครหลวงเวียงจันทน์ ที่นี่ผมเหมือนไม่ใช่คนแปลกหน้า แม้จะไม่รู้จักใครแต่ก็พูดภาษาเดียวกัน สำเนียงอาจจะแปลกไปบ้างแต่ก็เข้าใจกันได้ สภาพรถวีไอพีของเขาก็ไม่ดีไปกว่ารถ ป.2บ้านเราหรอก แต่ที่เหนือกว่าคือการเปิดเพลง ที่นี่เขาเปิดเพลงลูกทุ่งเบาๆให้ฟัง คือจะฟังเพลงก็ได้อารมณ์ จะคุยกันก็ไม่หนวกหู ไม่เหมือน ป.2 หลายๆสายในบ้านเราที่อัดเสียงจนแก้วหูแทบแตก และช่องใส่จอทีวีที่ด้านหน้าผมเห็นมันกลวงโบ๋ไม่มีอะไรเลย พนักงานเขาบอกผมว่าทีวีรุ่นนี้คนมีบุญเท่านั้นที่จะได้เห็น โอ..ผมคงไม่มีบุญเหมือนกับคนทั้งรถนั่นแหละ  แต่ถึงจะไม่มีบุญได้ดูทีวี ผมก็มีวาสนาอย่างบังเอิญที่สุดเมื่อน้องสาวคนหนึ่งมานั่งเบาะข้างๆผม เธอเป็นคนผิวพรรณดี หน้าตาก็จัดว่าสวย อายุก็น่าจะยี่สิบปลายๆ อัธยาศัยดีมาก จึงถือโอกาสทักทาย..สบายดี เธอยิ้มรับและกล่าวคำ..สบายดี จากนั้นการสนทนาก็เริ่มขึ้น เธอบอกว่าเธอชื่อนุ้ย เป็นชาวหลวงพระบาง ทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ส่งไปขายทั่วประเทศ เมื่อเธอรู้ว่าผมไม่เคยไปหลวงพระบางเธอก็อาสาเป็นธุระให้ทั้งเรื่องที่พัก เรื่องการอยู่กิน การท่องเที่ยวทุกอย่าง ผมถึงกับอึ้งในน้ำใจของคนเมืองหลวง  พอรถวิ่งไประยะหนึ่งเด็กรถก็นำถุงหูหิ้วมาแจกให้ผู้โดยสาร ผมก็แปลกใจว่าเขาให้เอามาใส่ขยะในรถหรืออย่างไร น้องนุ้ยบอกว่าถุงนี้เอาไว้สำหรับใส่อ้วก เดี๋ยวรถขึ้นเขาก็จะคายของเก่ากันเป็นทิวแถว ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่ามันจะขนาดนั้นเลยหรือ น้องนุ้ยก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่า เดี๋ยวพี่ก็รู้เอง            รถวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ จากภาพเมืองใหญ่ของเวียงจันทน์เปลี่ยนเป็นท้องนา ทิวข้าวพลิ้วไหวไปตามแรงลม วัวควายยังอยู่คู่ท้องนา ชีวิตที่เรียบง่ายสมถะมีให้เห็นตามริมทาง เหมือนบ้านเราเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้คิดถึงความหลังครั้งเป็นเด็ก เหมือนกับเราย้อนอดีตได้  จากภาพท้องนาเมื่อเข้าสู่เขตเมืองหินเหิบกลับกลายเป็นขึ้นเขาตลอดเส้นทาง ทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปเป็นแมกไม้และหุบเหวอยู่ริมทาง ผู้คนที่นี่มีความสามารถในการปลูกข้าวแบบขั้นบันไดตามภูเขา พวกเขาอาจจะไม่ได้ศึกษาหลักวิชาการที่ไหนหรอก แต่ประสบการณ์มันจะสอนเขาเอง จนกระทั่งถึงวังเวียง เมืองที่ลือชื่อในความงามจนได้ฉายาว่า กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว ที่นี่จะมีสายน้ำซองไหลเรื่อยรินชั่วตาปี มีทิวเขาสลับซับซ้อนยาวเหยียดสุดลูกตา ปุยเมฆหมอกโรยตัวลงมาห่มแนวเขา ราวกับภาพในจินตนาการ น้องนุ้ยบอกกับผมว่านักท่องเที่ยวนิยมมาที่นี่กันมาก เพราะที่นี่คือสวรรค์ที่สัมผัสได้ ทำให้ผมคิดถึงเพลงหนาวหมอกของ ก.วิเสด ที่ร้องว่า หนาวหมอกเมืองเหนือเพื่อสาวเมืองใต้ วังเวียงสำราญเริงใจ หนาวในทั่วไปทุกแห่ง มีสายน้ำซอง ไหลล่องผ่านเนินหินแก่ง .........  และบทกวีของข่อยบทหนึ่งที่เขียนไว้ว่า ..ยังคิดถึงดอกไม้ในสายหมอก  สายน้ำซองเย้าหยอกกับซอกหิน  วันที่ตาสบตาธิดาดิน  ชีพไม่สิ้นจะกลับหลังไปวังเวียง..ผมคงต้องมนต์เสน่ห์ของวังเวียงเข้าเสียแล้ว
วังเวียง
    
                จากวังเวียงจะเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเหมือนจะสิ้นสุดแต่ไม่มีที่สิ้นสุด สายน้ำไหลเอื่อยๆริมทางที่รถแล่นผ่าน จนที่สุดรถก็จอดให้ลงรับประทานอาหารกันที่เมืองกาสี เป็นร้านเล็กๆ รสชาติอาหารก็ถือว่าใช้ได้ มีทั้งคนไทย ลาว ฝรั่ง แน่นร้านทีเดียว  หลังจากเพิ่มพลังกันแล้วก็ออกเดินทางต่อ ผมดูในแผนที่ประมาณว่าน่าจะเหลือระยะทางอีกประมาณร้อยกว่ากิโล จึงถามน้องนุ้ยว่าอีกกี่นาทีจะถึงหลวงพระบาง คำตอบของเธอทำให้ผมสะดุ้ง อีก 5 ชั่วโมงเจ้า  ห้าชั่วโมง!!! ระยะทางแค่นี้วิ่งห้าชั่วโมงเลยหรือ โอ..พระเจ้า
                จากกาสีรถวิ่งตามไหล่เขาสูงขึ้น สูงขึ้น จนหูผมเริ่มอื้อ เส้นทางคดเคี้ยวน่ากลัวมาก ผมยังไม่เห็นทางตรงถึงหนึ่งร้อยเมตรเลย มีแต่โค้งกับคด ที่สำคัญนอกจากถนนจะแคบแล้วยังไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายหรือเครื่องป้องกันที่ข้างถนนเลย บางทีรถพ่งขึ้นไปดีๆแล้วก็หักข้อศอก ถ้าพลาดก็ลงเหวไปเลย ไม่มีรั้วเป็นเบรก มีบางคนบอกว่าโหดกว่าเส้นทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนซะอีก ผมถามเด็กรถว่ามีโค้งทั้งหมดกี่โค้ง เด็กเขาบอกว่าไม่เคยมีใครนับได้เลย แต่ถ้าจะให้ประมาณดูก็ร่วมๆสองพันโค้ง
                ผมมองลงมาเบื้องล่างที่เห็นลิบๆสุดลูกตา น้องนุ้ยบอกว่าเดี๋ยวรถเราก็จะลงไปตรงนั้นแหละเพราะจะต้องอ้อมเขาลูกนี้ แล้วรถก็วิ่งลงไปตามที่เธอว่า เมื่อแหงนมองเทือกเขาลิบๆเสียดฟ้าข้างบนเธอก็บอกอีกว่าเดี๋ยวเราก็จะขึ้นไปตรงนั้นแหละพี่ ผมแทบเข่าอ่อนเลยทีเดียว  รถวิ่งมาได้สักระยะโชเฟอร์ก็จอดรถข้างทาง ผมสงสัยมากเพราะมีแต่ป่า ไม่มีบ้านคน รถจอดทำไม? น้องนุ้ยหัวเราะ เขาจอดให้ทำธุระน่ะพี่  ธุระอะไร..ผมโง่จริงนะไม่ได้แกล้งโง่  น้องนุ้ยก็บอกว่าใครจะหนักก็หนักใครจะเบาก็เบา ทำธุระกันข้างถนนนี่แหละ  ผมก็เลยถึงบางอ้อ  นี่ถ้าเป็นบ้านเราก็คงจอดปั๊ม ปตท. แต่ที่นี่ก็ ปตท.เหมือนกันแต่เป็นป่าตามทาง
                เราใช้เวลาคดเคี้ยวเลี้ยวลดอยู่บนภูเขานานมาก ที่สุดก็มาถึงหลวงพระบาง ภาพที่เห็นก็คือเมืองน่ารักในหุบเขา ผมตื่นเต้นมากทีเดียว แต่เวลาที่เราไปถึงก็มืดเสียแล้ว น้องนุ้ยจัดแจงหาที่พักให้ แล้วก็พาไปทานอาหาร ก่อนจะส่งผมกลับที่พัก เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะมารับพี่ชายไปเที่ยว ขอให้หลับฝันดี สบายดีพี่ชาย....
                ผมเดินทางมาด้วยใจอยากสัมผัสกับหลวงพระบางขนาดนี้มีหรือจะหลับได้ลง พอน้องนุ้ยออกไปสักครู่ผมก็แอบไปเหมารถจัมโบ้หน้าโรงแรม ไปดูตลาดมืดที่ผมเคยได้ยินมา พอได้ถึงจึงได้รู้ว่าผมเข้าใจผิด ทีแรกผมคิดว่าตลาดมืดคือที่ขายของหนีภาษี แต่ความจริงก็คล้ายๆไนท์บาซ่าบ้านเรานี่แหละขายของประเภทโอท็อป เช่น พวกเสื้อผ้า ของที่ระลึก เครื่องเงิน ฯลฯ ที่เรียกตลาดมืดน่าจะมาจากแสงไฟที่สลัวๆ แต่แล้วหูของผมก็ได้ยินเสียงระนาดและเครื่องดนตรีดังอยู่ใกล้ๆ ผมรีบถามคนแถวนั้นว่าเขามีอะไรกัน เขาบอกว่ามีการแสดงนาฏศิลป์ลาวอยู่โรงละครพะลักพะลาม แล้วก็ชี้นิ้วให้ดู กูอยู่ติดกำแพงนี่เอง ผมก็เผ่นสิครับอยากดูมานานแล้ว อยากเปรียบเทียบกับของไทยและของเขมรที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี  ถึงโรงละครผมบอกกับพี่ที่อยู่หน้าประตูว่าผมมาจากเมืองไทย อยากเข้าไปชมมากๆ พี่แกก็ใจดีให้ผมเข้าไปฟรีๆไม่เสียค่าผ่านประตู  จากที่ผมเห็นนาฏศิลป์ของลาวมีความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ก็มีหลายอย่างที่แทบจะแยกกันไม่ออกระหว่างนาฏศิลป์ไทย ลาว กัมพูชา นั่นคือเรื่องความเชื่อทางศาสนา เรื่องพระลักษมณ์พระราม เรื่องนางเมขลา ฯลฯ มีเหมือนกัน  หลังชมการแสดงจบผมรีบกลับมานอนทันทีเพื่อเอาแรงไว้สู้กับวันใหม่
                รุ่งเช้าน้องนุ้ยรีบมารับผมแต่เช้า เธอพาผมไปเที่ยวทุกที่ของหลวงพระบาง ผมประทับใจวัดวิชุนราช ที่มีพระธาตุหมากโม ที่รูปทรงเหมือนแตงโมผ่าซีก ความงดงามของสถาปัตยกรรมล้านช้างที่วิจิตรเกินกว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้  วัดเชียงทองที่ตั้งบนเนินเขาใกล้ปากแม่น้ำคานจดกับแม่น้ำโขงนั้นสมควรแล้วที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งล้านช้าง พระราชวังเก่าของเจ้ามหาชีวิตก็ยิ่งใหญ่ตระการตามาก ผมมีโอกาสนมัสการพระบางเป็นครั้งแรกในชีวิตถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง ที่ผมภูมิใจเอามากๆก็คือได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุพูสี ซึ่งเป็นพระธาตุที่ตั้งบนเขาใจกลางเมือง ว่ากันว่าจะอยู่จุดใดในหลวงพระบางก็สามารถมองเห็นพระธาตุพูสีได้ ผมขึ้นบันได 328 ขั้นไปนมัสการและถ่ายรูปทิวทัศน์หลวงพระบางทั้งที่ร่างกายอ่อนล้าเต็มทน
พระธาตุหมากโม
                วันรุ่งขึ้นน้องนุ้ยก็ยังทำหน้าที่น้องสาวที่ดี มารับผมแต่เช้า คราวนี้เราออกนอกเมืองไปน้ำตกตาดกวางสี ไปถ้ำติ่ง บ้านผานม ฯลฯ ยอมรับว่าทุกที่ที่ไปประทับใจมากจนผมไม่กล้าบรรยายเกรงว่าจะทำให้ความงามของที่ต่างๆลดน้อยลง เพราะหลวงพระบางงดงามเกินกว่าคนสามัญอย่างผมจะบรรยายได้
                และแล้วการจากลาก็มาถึง วันนั้นผมบอกน้องนุ้ยว่าจะจะต้องเดินทางกลับค่ำนี้ละนะ ดูท่าทางเธอเหงาไปถนัดตา ซึ่งไม่แตกต่างอะไรไปจากผม ตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขาลงแล้ว เหลือเพียงลำแสงสุดท้ายที่ฉาบฟ้า หลวงพระบางเงียบเหงา สถานีขนส่งมีเพียงผู้โดยสารขบวนสุดท้ายไม่กี่คน รถค่อยๆเคลื่อนสู่ตีนเขา น้องนุ้ยโบกมือไหวๆอยู่เบื้องหลัง ผมโบกมือตอบด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ลาก่อนน้องสาวที่แสนดี ลาก่อนหลวงพระบางที่รัก ขอบคุณสำหรับน้ำใจ ไมตรี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้ ความหลังที่หลวงพระบางแม้จะลับไปกับตา แต่จะเจิดจ้าอยู่ในใจ  รถค่อยๆเคลื่อนฝ่าความมืดไปตามไหล่เขา พร้อมๆกับคนๆหนึ่งที่จากหลวงพระบางไปแต่ตัว.

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เข้าพรรษาที่อุบลฯ ออกพรรษาที่หนองคาย

    "เหม่อมองฟ้าหม่นคิดถึงอุบล บ้านแฟน
ไม่พบแม่ตาซอนแลน บ่เห็นหน้าแฟนมาแล้วตั้งโดน
คิดฮอดทูนหัวแม่พุ่มดอกบัว เมืองอุบล
แห่เทียนพรรษานัดเจอะหน้ามลแต่สาวอุบลก็เงียบหาย...."
   เสียงเพลง "ช้ำรักจากอุบล" ดังแว่วๆผ่านวิทยุน่าจะมาจากแม่ค้าซักคนหนึ่งในตลาดสดยามแลงที่แสนจะวุ่นวายแต่บทเพลงสกดให้ผมต้องนิ่งไปชั่วขณะโดยลืมสนใจกับการจับจ่ายซื้อของไปได้ซักพักหนึ่ง เสียงเพลงเหมือนจะสะกิดใจให้นึกถึงความหลังครั้งอดีตที่บางครั้งอาจจะหลงลืมไปบ้างกลับมารัญจวนความรู้สึกอีกครั้ง หลังจากซื้อของได้ครบตามความประสงค์ จิตใจก็ยังวนเวียนนึกถึงเสียงเพลงอันมีรอยอดีตที่เคยหอมหวลรัญจวนใจแต่บทสุดท้ายก็จบลงด้วยน้ำตา ถ้าย้อนเวลากลับไปซัก 5 ปีที่แล้วบอกได้คำเดียวเลยว่า มันโดน นี่แหละใช่ มันซึ้งมันอิน มันเจ็บปวดอย่างมีความสุข ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ต้องใช้บทเพลงเยียวยาหัวใจ เพราะอกหักจากสาวอุบล..ฮ่าๆ วันนี้ก็เลยมาเขียนบทความย้อนอดีตกลับไปสู่จุดเริ่มต้นและจุดจบเพื่อตามหาที่มาที่ไปจากบทเพลง ที่ได้เกริ่นนำมาแล้วกันดีกว่า

     กาลครั้งหนึ่ง.....หลังจากเลิกงานในวันศุกร์วันสุดท้ายของการทำงานผมและเพื่อนๆก็ออกมาหาเครื่องดื่มบรรเทาความเซ็งและสนทนาสัพเพเหระกันตามวิสัย มีเพื่อนที่ทำงานด้วยกันคนหนึ่งเอ่ยชวนลอยๆ ว่าจะไปเที่ยวงานเแห่เทียนที่อุบลใครจะไปด้วย ทุกคนในวงเหล้าที่ถูกตั้งคำถามก็แสดงวิสัยทัศน์องค์ความรู้กันไปต่างๆนานา แต่สุดท้าย จบลงคือไปกันทุกคน หลังจากกลับจากดื่มกินกันสำราญใจในระดับหนึ่ง ผมก็กลับมาแพ็คสัมภาระที่ต้องใช้ในการในการเดินทางของพรุ่งนี้เช้า นีก็3ทุ่มเหลือเวลาอีกไม่มากต้องรีบเข้านอนแล้ว พรุ่งนี้ตี3ล้อหมุนเราจะท่องเมืองอุบล ยลแห่เทียนเข้าพรรษา ไปดูให้เห็นกับตาถึงความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างระดับประเทศจะเป็นเยี่ยงไร เมื่อถึงอุบลแล้วจะเกิดอะไรขึ้น.........โปรดติดตามตอนต่อไป

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อาหารเช้าริมฝั่งโขง ณ เมืองหนองคาย

จากที่ต้องเหนื่อยล้ากับการทำงานมาทั้งสัปดาห์ ในที่สุดก็มาถึงวันหยุดที่รอคอยซักที หลังจากตื่นนอนทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาตามลำดับ ผมจึงเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรรองท้องซักหน่อย.โอ้ว!! แม่เจ้า มันช่างว่างเปล่าเีสียนี่กระไร มีนำ้เปล่าอยู่ 2ขวด กับ ผลไม้ที่กินเหลือจากเมื่อวานครึ่งจาน เห็นแล้วเริ่มเซ็งกับสภาพอาหารการกินในเช้าที่น่าจะสดชื่นรื่มรมณ์ของ วันนี้...ไปเดินหาอะไรกินนอกบ้านดีกว่าหนองคายเมืองน่าอยู่อันดับ7ของโลกวันนี้ลองไปดูซิว่ามีอะไรน่ากินติดอันดับ
 โลกกันอยู่บ้าง


 

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศรีธนชัยฉบับอีสาน "นิทานเชี่ยงเมี่ยง"

นิทานเรื่องเชี่ยงเมี่ยง เป็นนิทานที่เล่าถึงความเล่ห์แสนกล ของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเฉลียวฉลาดจนผู้ใหญ่ก็ตามไม่ทัน ทำให้เชี่ยงเมี่ยงได้ใจ เรื่องพูดเท็จหลอกผู้ใหญ่อยู่เสมอ นิทานเรื่องเชี่ยงเมี่ยงนี้ ได้แพร่ขยายเข้าไปในภาคเหนือ ด้วยโครงนี้เรื่องก็คล้ายๆ กับศรีธนนชัย นิทานชาวบ้านของภาคกลาง โดยจบลงด้วยคติ บทเดียวกันว่า คนเรานั้นจะฉลาดอย่างไร ถ้าแสนกล ก่อทุกข์ให้คนอื่นและสนุกกับเล่ห์เพทุบาย ในที่สุดก็จะต้องชดใช้กรรมอันนั้น
                     นานมาแล้ว นานเสียจนไม่รู้ว่าเมื่อไร มีเด็กชายกำพร้าพ่อแม่คนหนึ่ง ชื่อ เชี่ยงเมี่ยง เป็นเด็กที่พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องเลย ชาวบ้านจึงนำตัวเด็กน้อย ไปมอบให้สมภารองค์หนึ่ง ช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เชี่ยงเมี่ยงยังเล็กมาก
                    เชี่ยงเมี่ยงจึงเติบโตในวัด อาศัยอยู่กับหลวงพ่อกินข้าวก้นบาตรพระ และคอยปฏบัติหลวงพ่อทุกอย่าง เด็กลูกศิษย์วัดมีหลายคนด้วยกัน ต่างก็มีงานที่ต้องช่วยกันทำแบบทั้งวัน เช่น ทำความสะอาดลานวัด ตัดต้นไม้ ดายหญ้า รดน้ำ ทำความสะอาดกุฏิ ฯลฯ แต่พระต่างก็สังเกตเห็นว่า เด็กชายเชี่ยงเมี่ยงจะพยายามทำงานน้อย และเบากว่าเพื่อนๆ ทุกทีไป เมื่อไต่ถามเพื่อจะดุ หลวงพ่อก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเชี่ยงเมี่ยงสักที แม้จะเป็นคนเลี่ยงงานและกินแรงเพื่อนฝูง แต่ก็ประจบและปฏบัติหลวงพ่อเป็นที่ถูกใจ และทันอกทันใจกว่าลูกศิษย์คนอื่น ด้วยเหตุนี้เชี่ยงเมี่ยงจึงได้เป็นเด็กก้นกุฏิของหลวงพ่อ

ตำนาน สิงหนวัติกุมาร

เรื่องนี้เริ่มจากการที่สิงหนวัติกุมาร โอรสพระเจ้าเทวกาลแห่งนครไทยเทศ คือเมืองราชคฤห์ อพยพผู้คนออกจากเมืองราชคฤห์เมื่อ พ.ศ. 430 เดินทางไปถึงชัยภูมิที่เคยเป็นแคว้นสุวรรณโคมคำมาก่อนไม่ใกล้แม่น้ำโขงนัก

เจ้าชายสิงหนวัติราชกุมารได้พบกับพันธุนาคราช ซึ่งพันธุนาคราชได้แนะนำให้เจ้าชายสิงหนวัติตั้งเมืองอยู่ในที่นั้น แล้วกลับวิสัยเป็นพระยานาคขุดแผ่นดินให้เป็นคูเมือง เจ้าชายสิงหนวัติจึงตั้งเมืองในที่นั้น และตั้งชื่อเมืองว่า เมืองนาคพันธุสิงหนวัตินคร จากนั้นอีก 3 ปี เจ้าชายสิงหนาวัติก็ได้แผ่อำนาจปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ในเขตนั้น และปราบได้ล้านนาไทยทั้งมวล

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Why do so marfa light ?

"........เป็นอันว่าเรื่อง “พญานาค” ชาวศรีลังกามีความเชื่อถืออย่างแน่นอน ดังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ “พญานาค” ปรากฏอยู่ใน “พระไตรปิฎก” อีกว่า ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์อยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูได้เสด็จไปที่เกาะลังกา ๓ ครั้งด้วยกัน พอที่จะนำมาสรุปโดยย่อไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้

.......สมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันได้เสด็จเป็นครั้งแรก ณ เกาะลังกา หลังจากตรัสรู้ในเดือนที่ ๙ ได้เสด็จประทับยืนบนอากาศตรงจุดที่สร้าง มหิยังคณเจดีย์ (เมืองมหิยังเกน่า) ทรงทรมานยักษ์ให้พ่ายแพ้หนีไปเสียแล้ว เหล่าเทพยดาได้มาชุมนุมฟังพระสัทธรรมเทศนา ครั้งนั้น สุมนเทพบุตร ผู้เป็นใหญ่ได้สำเร็จโสดาปัตติผล ต่อมาได้เสด็จเป็นครั้งที่ ๒ เพื่อทรงทรมาน หมู่พญานาคราชทั้งหลาย



การเสด็จครั้งที่ ๒ หลังจากตรัสรู้ได้ ๕ พรรษา เสด็จมาพระองค์เดียวเหมือนกัน เพื่อทรมานพญานาคผู้เป็นลุงกับหลานทะเลาะกัน หมู่นาคราชเหล่านั้นเลื่อมใสแล้ว จึงถวายบัลลังก์แก้วมณีของตน แต่พระองค์ทรงรับแล้วประทับนั่งหน่อยหนึ่ง แล้วจึงประทานคืนให้หมู่นาคเอาไว้บูชาแทนพระองค์ เหล่าพญานาคจึงเอาบัลลังก์แก้วมณีนั้นบรรจุไว้ภายในเจดีย์ที่นาคทวีป ซึ่งอยู่เหนือสุดลังกา (บริเวณแหลมจ๊าฟน่า)

ครั้นถึงปีที่ ๘ แห่งการตรัสรู้ องค์สมเด็จพระบรมครูได้เสด็จมาพร้อมพระภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เป็นครั้งที่ ๓ ตามคำอาราธนาของ พญามณีอักขิกะนาคราช มายังที่ กัลยาณีเจดีย์ ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองและได้ทรงแสดงธรรมแล้ว จึงเสด็จไปจากที่นั้น นาคเหล่านั้นจึงสร้าง “กัลยาณีเจดีย์” ครอบบัลลังก์นั้นไว้ (ปัจจุบัน “วัดกัลยาณี” เมืองโคลัมโบ) เป็นที่กราบไหว้จนทุกวันนี้

เมื่อได้กล่าวถึงประเทศศรีลังกาแล้ว ปรากฏว่าไปพบเรื่อง “พญานาค” อีกแห่งหนึ่งที่ “ภูลังกา” อ.บ้านแพง จ.นครพนม มีความลี้ลับอาถรรพ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องพูดยากอธิบายยากเพราะเป็นเรื่องของนามธรรม ที่ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ทั้งๆ ที่พิสูจน์ไม่ได้

คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่มีการศึกษาสูงๆ เป็นครู เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และระดับศาสตราจารย์ด็อกเตอร์จากต่างประเทศจำนวนไม่น้อยก็ยอมรับว่า เรื่องความลึกลับนามธรรมเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ต้องรับฟังไว้เพื่อศึกษาพิจารณาค้นคว้าต่อไป จะปฏิเสธเสียเลยทีเดียวไม่ได้