หลังจากแพ็คสิ่งของที่จำเป็นลงในเป้เสร็จเรียบร้อยผมก็ชโงกหน้าออกมาสูดอากาศหน้าระเบียงด้านหลังของอพาทเมนท์ทอดสายตามองยาวไปยังฟากฝั่งตรงข้ามเพื่อชมธรรมชาติที่สวนรถไฟ
ขณะนี้ฟ้างามยามเย็น สายลมหนาวกรรโชกมาอ่อนๆ โลมไล้ผิวเนื้อ
ใบไม้โบกพลิ้วไปตามแรงลม หลังจากเพลินอยู่ได้ซักพักผมก็กลับเข้ามาในห้องสะพายเป้คู่ใจขึ้นรถโดยสารมุ่งตรงสู่หนองคาย
เพื่อไปตามความฝันของผมที่ปลายฟ้า..หลวงพระบาง ผมไม่เคยไป ไม่เคยเห็น
ไม่รู้จักใครที่หลวงพระบางมาก่อน
แต่ผมรู้ว่าหลวงพระบางเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่งดงาม เป็นเมืองมรดกโลก
และที่สำคัญก่อนที่แม่จะเสียท่านบอกกับผมว่าบรรพบุรุษของแม่มาจากหลวงพระบาง
ก่อนที่จะมาอยู่เวียงจันทน์ และข้ามมาฝั่งไทย หลวงพระบางอาจเป็นมรดกโลกสำหรับคนอื่นแต่ผมเป็นมรดกของหลวงพระบาง
ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่คุ้นเคย ผมขึ้นรถที่ขนส่งสายเหนือในนครหลวงเวียงจันทน์
ที่นี่ผมเหมือนไม่ใช่คนแปลกหน้า แม้จะไม่รู้จักใครแต่ก็พูดภาษาเดียวกัน
สำเนียงอาจจะแปลกไปบ้างแต่ก็เข้าใจกันได้ สภาพรถวีไอพีของเขาก็ไม่ดีไปกว่ารถ
ป.2บ้านเราหรอก แต่ที่เหนือกว่าคือการเปิดเพลง ที่นี่เขาเปิดเพลงลูกทุ่งเบาๆให้ฟัง
คือจะฟังเพลงก็ได้อารมณ์ จะคุยกันก็ไม่หนวกหู ไม่เหมือน ป.2
หลายๆสายในบ้านเราที่อัดเสียงจนแก้วหูแทบแตก
และช่องใส่จอทีวีที่ด้านหน้าผมเห็นมันกลวงโบ๋ไม่มีอะไรเลย
พนักงานเขาบอกผมว่าทีวีรุ่นนี้คนมีบุญเท่านั้นที่จะได้เห็น
โอ..ผมคงไม่มีบุญเหมือนกับคนทั้งรถนั่นแหละ แต่ถึงจะไม่มีบุญได้ดูทีวี
ผมก็มีวาสนาอย่างบังเอิญที่สุดเมื่อน้องสาวคนหนึ่งมานั่งเบาะข้างๆผม
เธอเป็นคนผิวพรรณดี หน้าตาก็จัดว่าสวย อายุก็น่าจะยี่สิบปลายๆ อัธยาศัยดีมาก
จึงถือโอกาสทักทาย..สบายดี เธอยิ้มรับและกล่าวคำ..สบายดี
จากนั้นการสนทนาก็เริ่มขึ้น เธอบอกว่าเธอชื่อนุ้ย เป็นชาวหลวงพระบาง
ทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ส่งไปขายทั่วประเทศ
เมื่อเธอรู้ว่าผมไม่เคยไปหลวงพระบางเธอก็อาสาเป็นธุระให้ทั้งเรื่องที่พัก เรื่องการอยู่กิน
การท่องเที่ยวทุกอย่าง ผมถึงกับอึ้งในน้ำใจของคนเมืองหลวง
พอรถวิ่งไประยะหนึ่งเด็กรถก็นำถุงหูหิ้วมาแจกให้ผู้โดยสาร
ผมก็แปลกใจว่าเขาให้เอามาใส่ขยะในรถหรืออย่างไร
น้องนุ้ยบอกว่าถุงนี้เอาไว้สำหรับใส่อ้วก เดี๋ยวรถขึ้นเขาก็จะคายของเก่ากันเป็นทิวแถว
ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่ามันจะขนาดนั้นเลยหรือ น้องนุ้ยก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่า
เดี๋ยวพี่ก็รู้เอง
รถวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ
จากภาพเมืองใหญ่ของเวียงจันทน์เปลี่ยนเป็นท้องนา ทิวข้าวพลิ้วไหวไปตามแรงลม
วัวควายยังอยู่คู่ท้องนา ชีวิตที่เรียบง่ายสมถะมีให้เห็นตามริมทาง
เหมือนบ้านเราเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้คิดถึงความหลังครั้งเป็นเด็ก
เหมือนกับเราย้อนอดีตได้
จากภาพท้องนาเมื่อเข้าสู่เขตเมืองหินเหิบกลับกลายเป็นขึ้นเขาตลอดเส้นทาง
ทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปเป็นแมกไม้และหุบเหวอยู่ริมทาง ผู้คนที่นี่มีความสามารถในการปลูกข้าวแบบขั้นบันไดตามภูเขา
พวกเขาอาจจะไม่ได้ศึกษาหลักวิชาการที่ไหนหรอก แต่ประสบการณ์มันจะสอนเขาเอง
จนกระทั่งถึงวังเวียง เมืองที่ลือชื่อในความงามจนได้ฉายาว่า กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว
ที่นี่จะมีสายน้ำซองไหลเรื่อยรินชั่วตาปี มีทิวเขาสลับซับซ้อนยาวเหยียดสุดลูกตา
ปุยเมฆหมอกโรยตัวลงมาห่มแนวเขา ราวกับภาพในจินตนาการ
น้องนุ้ยบอกกับผมว่านักท่องเที่ยวนิยมมาที่นี่กันมาก
เพราะที่นี่คือสวรรค์ที่สัมผัสได้ ทำให้ผมคิดถึงเพลงหนาวหมอกของ ก.วิเสด
ที่ร้องว่า หนาวหมอกเมืองเหนือเพื่อสาวเมืองใต้ วังเวียงสำราญเริงใจ
หนาวในทั่วไปทุกแห่ง มีสายน้ำซอง ไหลล่องผ่านเนินหินแก่ง .........
และบทกวีของข่อยบทหนึ่งที่เขียนไว้ว่า ..ยังคิดถึงดอกไม้ในสายหมอก
สายน้ำซองเย้าหยอกกับซอกหิน วันที่ตาสบตาธิดาดิน
ชีพไม่สิ้นจะกลับหลังไปวังเวียง..ผมคงต้องมนต์เสน่ห์ของวังเวียงเข้าเสียแล้ว
|
วังเวียง |
จากวังเวียงจะเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเหมือนจะสิ้นสุดแต่ไม่มีที่สิ้นสุด
สายน้ำไหลเอื่อยๆริมทางที่รถแล่นผ่าน
จนที่สุดรถก็จอดให้ลงรับประทานอาหารกันที่เมืองกาสี เป็นร้านเล็กๆ
รสชาติอาหารก็ถือว่าใช้ได้ มีทั้งคนไทย ลาว ฝรั่ง แน่นร้านทีเดียว
หลังจากเพิ่มพลังกันแล้วก็ออกเดินทางต่อ
ผมดูในแผนที่ประมาณว่าน่าจะเหลือระยะทางอีกประมาณร้อยกว่ากิโล
จึงถามน้องนุ้ยว่าอีกกี่นาทีจะถึงหลวงพระบาง คำตอบของเธอทำให้ผมสะดุ้ง “อีก 5 ชั่วโมงเจ้า” ห้าชั่วโมง!!! ระยะทางแค่นี้วิ่งห้าชั่วโมงเลยหรือ
โอ..พระเจ้า
จากกาสีรถวิ่งตามไหล่เขาสูงขึ้น สูงขึ้น จนหูผมเริ่มอื้อ
เส้นทางคดเคี้ยวน่ากลัวมาก ผมยังไม่เห็นทางตรงถึงหนึ่งร้อยเมตรเลย มีแต่โค้งกับคด
ที่สำคัญนอกจากถนนจะแคบแล้วยังไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายหรือเครื่องป้องกันที่ข้างถนนเลย
บางทีรถพ่งขึ้นไปดีๆแล้วก็หักข้อศอก ถ้าพลาดก็ลงเหวไปเลย ไม่มีรั้วเป็นเบรก
มีบางคนบอกว่าโหดกว่าเส้นทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนซะอีก
ผมถามเด็กรถว่ามีโค้งทั้งหมดกี่โค้ง เด็กเขาบอกว่าไม่เคยมีใครนับได้เลย
แต่ถ้าจะให้ประมาณดูก็ร่วมๆสองพันโค้ง
ผมมองลงมาเบื้องล่างที่เห็นลิบๆสุดลูกตา น้องนุ้ยบอกว่าเดี๋ยวรถเราก็จะลงไปตรงนั้นแหละเพราะจะต้องอ้อมเขาลูกนี้
แล้วรถก็วิ่งลงไปตามที่เธอว่า
เมื่อแหงนมองเทือกเขาลิบๆเสียดฟ้าข้างบนเธอก็บอกอีกว่าเดี๋ยวเราก็จะขึ้นไปตรงนั้นแหละพี่
ผมแทบเข่าอ่อนเลยทีเดียว รถวิ่งมาได้สักระยะโชเฟอร์ก็จอดรถข้างทาง
ผมสงสัยมากเพราะมีแต่ป่า ไม่มีบ้านคน รถจอดทำไม? น้องนุ้ยหัวเราะ “เขาจอดให้ทำธุระน่ะพี่”
ธุระอะไร..ผมโง่จริงนะไม่ได้แกล้งโง่
น้องนุ้ยก็บอกว่าใครจะหนักก็หนักใครจะเบาก็เบา ทำธุระกันข้างถนนนี่แหละ
ผมก็เลยถึงบางอ้อ นี่ถ้าเป็นบ้านเราก็คงจอดปั๊ม ปตท. แต่ที่นี่ก็
ปตท.เหมือนกันแต่เป็นป่าตามทาง
เราใช้เวลาคดเคี้ยวเลี้ยวลดอยู่บนภูเขานานมาก ที่สุดก็มาถึงหลวงพระบาง
ภาพที่เห็นก็คือเมืองน่ารักในหุบเขา ผมตื่นเต้นมากทีเดียว
แต่เวลาที่เราไปถึงก็มืดเสียแล้ว น้องนุ้ยจัดแจงหาที่พักให้ แล้วก็พาไปทานอาหาร
ก่อนจะส่งผมกลับที่พัก เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะมารับพี่ชายไปเที่ยว ขอให้หลับฝันดี
สบายดีพี่ชาย....
ผมเดินทางมาด้วยใจอยากสัมผัสกับหลวงพระบางขนาดนี้มีหรือจะหลับได้ลง
พอน้องนุ้ยออกไปสักครู่ผมก็แอบไปเหมารถจัมโบ้หน้าโรงแรม
ไปดูตลาดมืดที่ผมเคยได้ยินมา พอได้ถึงจึงได้รู้ว่าผมเข้าใจผิด ทีแรกผมคิดว่าตลาดมืดคือที่ขายของหนีภาษี
แต่ความจริงก็คล้ายๆไนท์บาซ่าบ้านเรานี่แหละขายของประเภทโอท็อป เช่น พวกเสื้อผ้า
ของที่ระลึก เครื่องเงิน ฯลฯ ที่เรียกตลาดมืดน่าจะมาจากแสงไฟที่สลัวๆ
แต่แล้วหูของผมก็ได้ยินเสียงระนาดและเครื่องดนตรีดังอยู่ใกล้ๆ ผมรีบถามคนแถวนั้นว่าเขามีอะไรกัน
เขาบอกว่ามีการแสดงนาฏศิลป์ลาวอยู่โรงละครพะลักพะลาม แล้วก็ชี้นิ้วให้ดู
กูอยู่ติดกำแพงนี่เอง ผมก็เผ่นสิครับอยากดูมานานแล้ว
อยากเปรียบเทียบกับของไทยและของเขมรที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ถึงโรงละครผมบอกกับพี่ที่อยู่หน้าประตูว่าผมมาจากเมืองไทย อยากเข้าไปชมมากๆ
พี่แกก็ใจดีให้ผมเข้าไปฟรีๆไม่เสียค่าผ่านประตู
จากที่ผมเห็นนาฏศิลป์ของลาวมีความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่ก็มีหลายอย่างที่แทบจะแยกกันไม่ออกระหว่างนาฏศิลป์ไทย ลาว กัมพูชา
นั่นคือเรื่องความเชื่อทางศาสนา เรื่องพระลักษมณ์พระราม เรื่องนางเมขลา ฯลฯ
มีเหมือนกัน หลังชมการแสดงจบผมรีบกลับมานอนทันทีเพื่อเอาแรงไว้สู้กับวันใหม่
รุ่งเช้าน้องนุ้ยรีบมารับผมแต่เช้า เธอพาผมไปเที่ยวทุกที่ของหลวงพระบาง
ผมประทับใจวัดวิชุนราช ที่มีพระธาตุหมากโม ที่รูปทรงเหมือนแตงโมผ่าซีก
ความงดงามของสถาปัตยกรรมล้านช้างที่วิจิตรเกินกว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้
วัดเชียงทองที่ตั้งบนเนินเขาใกล้ปากแม่น้ำคานจดกับแม่น้ำโขงนั้นสมควรแล้วที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งล้านช้าง
พระราชวังเก่าของเจ้ามหาชีวิตก็ยิ่งใหญ่ตระการตามาก ผมมีโอกาสนมัสการพระบางเป็นครั้งแรกในชีวิตถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
ที่ผมภูมิใจเอามากๆก็คือได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุพูสี
ซึ่งเป็นพระธาตุที่ตั้งบนเขาใจกลางเมือง
ว่ากันว่าจะอยู่จุดใดในหลวงพระบางก็สามารถมองเห็นพระธาตุพูสีได้ ผมขึ้นบันได 328
ขั้นไปนมัสการและถ่ายรูปทิวทัศน์หลวงพระบางทั้งที่ร่างกายอ่อนล้าเต็มทน
|
พระธาตุหมากโม |
วันรุ่งขึ้นน้องนุ้ยก็ยังทำหน้าที่น้องสาวที่ดี มารับผมแต่เช้า
คราวนี้เราออกนอกเมืองไปน้ำตกตาดกวางสี ไปถ้ำติ่ง บ้านผานม ฯลฯ
ยอมรับว่าทุกที่ที่ไปประทับใจมากจนผมไม่กล้าบรรยายเกรงว่าจะทำให้ความงามของที่ต่างๆลดน้อยลง
เพราะหลวงพระบางงดงามเกินกว่าคนสามัญอย่างผมจะบรรยายได้
และแล้วการจากลาก็มาถึง วันนั้นผมบอกน้องนุ้ยว่าจะจะต้องเดินทางกลับค่ำนี้ละนะ
ดูท่าทางเธอเหงาไปถนัดตา ซึ่งไม่แตกต่างอะไรไปจากผม ตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขาลงแล้ว
เหลือเพียงลำแสงสุดท้ายที่ฉาบฟ้า หลวงพระบางเงียบเหงา
สถานีขนส่งมีเพียงผู้โดยสารขบวนสุดท้ายไม่กี่คน รถค่อยๆเคลื่อนสู่ตีนเขา
น้องนุ้ยโบกมือไหวๆอยู่เบื้องหลัง ผมโบกมือตอบด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
ลาก่อนน้องสาวที่แสนดี ลาก่อนหลวงพระบางที่รัก ขอบคุณสำหรับน้ำใจ ไมตรี
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้ ความหลังที่หลวงพระบางแม้จะลับไปกับตา
แต่จะเจิดจ้าอยู่ในใจ รถค่อยๆเคลื่อนฝ่าความมืดไปตามไหล่เขา
พร้อมๆกับคนๆหนึ่งที่จากหลวงพระบางไปแต่ตัว.